วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศิลปนิพนธ์

หัวข้อ :
     กระบวนการคิดการออกแบบรูปอักขรศิลป์ลวดลายบนของที่ระลึก : เพื่อรนรงค์โครงการ "ลดโลกร้อน" ของกระทรวงพลังงาน


ตัวแปรต้น : ภาพตัวอักษร : ของที่ระลึกเพื่อรนรงค์โครงการ "ลดโลกร้อนถวายพ่อ" ของกระทรวงพลังงาน
ตัวแปรตาม :
กระบวนการคิดการออกแบบรูปอักขรศิลป์ลวดลายบนของที่ระลึก : เพื่อรนรงค์โครงการ "ลดโลกร้อน" ของกระทรวงพลังงาน
ประชากร : ของที่ระลึกเพื่อรนรงค์โครงการ "ลดโลก" ของกระทรวงพลังงาน

บริบท :  รูปแบบกระบวนการคิดการออกแบบรูปอักขรศิลป์ลวดลายบนของที่ระลึก : เพื่อรนรงค์โครงการ "ลดโลกร้อน" ของกระทรวงพลังงาน
ช่วงเวลา : ภายใน พ.ศ. 2554 - 2555


การศึกษาความหมายของ Typography  หรือ การออกแบบตัวอักษร

ความหมายคำนิยามศัพท์เกี่ยวกับการออกแบบตัวอักษร
     1. TYPOGRAPHY คือ หลักการศาสตร์และทฤษฎีว่าด้วยการเรียงพิมพ์การออกแบบและจัดวางตัวอักษร
     2. TYPOGRAPHY DESIGN คือเป็นรูปทางเลขนศิลป์  ที่เน้นการออกแบบโดยการนำเอาตัวอักษรมาใช้เป็นหลัก
     3. LETTERING DESIGN คือ การออกแบบกลุ่มตัวอักษรที่ไม่จำเป็นจะต้องครบชุด สำหรับงานเป็นชิ้น ๆ ไป
     4. TYPE คือ ตัวอักษรแต่ละตัว
     5. TYPE FACE (รูปตัวอักษร,หน้าอักษร)  คือ แบบตัวอักษรแต่ละชุด
     6. FONT , FAUNT คือ การนำรูปแบบของตัวอักษรในแบบต่างๆ นั้น (TYPEFACE) นำมาใส่รายละเอียดของความห่างระหว่างตัวอักษร ช่องไฟ ระยะห่างระหว่างบรรทัด มีการทดสอบถึงการนำไปใช้ และการอ่านพร้อมที่จะนำไปใช้ในกระบวนการทางคอมพิวเตอร์
(อนุทิน วงศ์สรรคกร 2554 : 82-84)
     7. BODY TEXT , BODY TYPE , TEXT TYPE คือตัวเนื้อความตัวโปรย
     8. DISPLAY TYPE คือ ตัวพาดหัว ชื่อข้อความ
     9. DECORATIVE TYPE คือ ตัวอักษรตกแต่ง อักษณประดิษฐ์
     10. ALPHABET คือ ชุดอักษรที่ใช้ในระบบการเขียนของแต่ละภาษาเป็นสัญลักษณ์ แทนการออกเสียงซึ่งใช้โดยทั่วไปในปัจจุบันของแต่ละภาษา
     11. CHARACTER คือ อักขระ ได้แก่ ตัวอักษร (พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์) ตัวเลข เครื่องหมายที่กำหนดใช้ของแต่ละภาษา
     12. GLYPE (รูปอักษร) คือ รูปลักษณ์ของตัวอักษร มีความหมายเดียวกันกับ Character อันหมายถึงบุคลิกของตัวอักษรที่มีหลายหลายแบบแตกต่างกันออกไปเช่น สง่างาม , สนุกสนามร่าเริง, สงบเงียบ , อ่อนหวาน , เข้มแข็ง , น่ากลัว ฯลฯ (ปริญญาโรจน์อารยานนท์ 2544 : 35)
 
ประวัติความเป็นมาของตัวอักษร
        ตัวอักษรมนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ตัวอักษรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อทางการติดต่อ ตัวอักษรสมัยโบราณส่วนมากจะวิวัฒนาการมาจากภาพ เช่น อักษรของอียิปต์ ชื่อว่าอักษรไฮเออโรกลิฟิค (Hieroglyphic) ประมาณ 6,000 ปีล่วงมาแล้ว ยังมีอักษรที่เรียกว่า “อักษรลิ่ม” (Cuneiform) ของชาวซูเมอร์เรียน ซึ่งมีความเก่าแก่เท่า ๆ กันกับอักษรของอียิปต์โบราณ ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ในทวีปเอเซีย ประเทศจีน และอินเดีย ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้

        ตัวอักษรที่เป็นสากลส่วนมากใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ต้นตระกูลของอักษรภาษาอังกฤษ คือ อักษรโฟนิเซีย ซึ่งแพร่หลายอย่างกว้างขวางในยุโรป ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์กาล ชาวกรีกได้นำไปใช้เป็นหลักการเขียนตัวอักษร แล้วนำไปสู่พวกโรมันแก้ไขปรับปรุงจนกลายเป็นอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

        การประดิษฐ์ตัวอักษรของไทย เริ่มในสมัยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1826  โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงดัดแปลงมาจากอักษรของขอมและอักษรมอญโบราณ นำมาประดิษฐ์ใหม่เป็นตัวอักษรของชาติไทย ระยะแรกพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เรียงแถวกันในบรรทัดเดียวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม ซึ่งบางตัวอยู่ข้างล่าง ข้างบน ข้างหน้า และข้างหลัง ดังปรากฏที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


ลักษณะของตัวอักษรไทย
ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบ คือ
          1.  รูปแบบทางราชการ ได้แก่ ตัวอักษรที่มีลักษณะแบบเรียบ ๆ อ่านง่าย นิยมใช้กันมากโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับทางราชการ องค์การต่าง ๆ ใช้ในการพิมพ์หนังสือเรียน เป็นแบบที่เรียบร้อยแสดงถึงความเป็นระเบียบแบบแผนของความเป็นไทย  ลักษณะของตัวอักษรจะเป็นหัวกลม
2. รูปแบบอาลักษณ์   หมายถึง แบบตัวอักษรที่ใช้ในราชสำนักมาแต่โบราณ นับแต่พระบรมราชโองการ เอกสารทางราชการ หรือการจารึกเอกสารสำคัญ เช่นรัฐธรรมนูญ งานเกียรติยศต่าง ๆ
3.  รูปแบบสมเด็จกรมพระนริศฯ  หมายถึง  ลักษณะตัวอักษรที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้คิดรูปแบบขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะเป็นแบบที่ใช้เขียนได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และเหมาะสมกับการเขียนด้วยปากกา สปีดบอลล์ พู่กันแบน และสีเมจิกชนิดปลายตัด หรือที่เรียกว่า อักษรหัวตัด
4.  รูปแบบประดิษฐ์   หมายถึง รูปแบบตัวอักษรที่เกิดจากการออกแบบสร้างสรรค์เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับงานประเภทต่าง ๆ เช่น งานออกแบบโฆษณา หัวเรื่องหนังสือ ฯลฯ ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบเหลี่ยม แบบวงกลม แบบโค้ง และแบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสม


Typographic Design
                  คือการออกแบบในเชิง Graphic โดยใช้ Type เป็นหลักTypographyศาสตร์และทฤษฎีว่าด้วยเรื่องการออกแบบและจัดวางตัวอักษรLetteringการออกแบบตัวอักษรที่ไม่จำเป็นต้องครบชุด เป็นการเรียงคำหรือประโยคจากแบบอักษรที่มีอยู่แล้วหรือออกแบบขึ้นใหม่เพื่อความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของงานเป็นชิ้นๆไป เช่น การออกแบบเครื่องหมายการค้าต่างๆ

ประเภทของตัวอักษร
     1. แบ่งตามลักษณะการใช้งาน สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
          1.1. คือ ตัวเนื้อความมีจุดประสงค์ไว้ใช้เพื่ออ่าน  ต้องถูกต้องตามมาตรฐานการพิมพ์สากลถูกอักขระวิธีและอ่านง่าย  ตัวอักษรนี้มีลักษณะเรียบง่าย มีระเบียบมีหัวตัวอักษรที่เรียกว่าเป็นแบบมาตรฐานหรือแบบราชการเพราะได้รับการรับรองโดยทางราชการมีลักษณะเป็นแบบตัวเรียงพิมพ์ในระบบงานพิมพ์ หรือแบบตัวอักษรในเครื่องพิมพ์ดีด มีทั้งแบบตัวธรรมดา ตัวหนา ตัวบาง และตัวเอนมักนิยมใช้ใน ลักษณะของข้อความรายละเอียด ตัวอักษร ที่มีขนาดเล็ก เอกสารทางราชการ และงานสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป รูปลักษณะของแบบตัวอักษรประเภทนี้มีมากมาย  แต่ละรูปแบบจะมีลักษณะรายละเอียดที่แตกต่างกันไปนักออกแบบอาจประดิษฐ์ให้เกิดจุดเด่นที่หัวตัวอักษร ที่หลังคาตัวอักษร ที่รูปร่างหรือสัดส่วนของอักษร เป็นต้น
     2. DISPLAY TYPE (Display font/decorative font)
          1.2 คือ ตัวอักษรตกแต่ง, อักษรประดิษฐ์ มีไว้เป็นหัวข้อความ, ตัวนำมีรูปแบบตามจุดประสงค์ในการสื่อสารเฉพาะอย่าง ไม่ต้องถูกต้องตามมาตรฐานทุกอย่าง แต่ควรคำนึงถึงความเหมาะสมและ ความสะดวกในการใช้กับสื่อต่างๆ ตัวอักษรแบบประดิษฐ์บางครั้งเรียกว่า อักษรแฟนซี (Fancy Type) เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้งานโดยเฉพาะโดยเน้นให้มีรูปแบบเหมาะสมกับการใช้งานนั้น ๆ วิธีการประดิษฐ์ตัวอักษรประเภทนี้ต้องการเน้นให้มีรูปแบบแตกต่างไปจากแบบทั่วไป แต่ยังมีเค้าโครงตัวอักษรตามโครงสร้างเดิมการประดิษฐ์รูปแบบอักษรประเภทนี้จึงไม่มีกฏใดๆ ที่แน่นอน อาจมีหัวตัวอักษรหรือไม่ก็ได้ บางครั้งเป็นการเน้นขอบ บางครั้งเป็นการใส่ลวดลายลงบนตัวอักษรหรือใส่เงาตัวอักษรการเน้นเส้นหนาบาง ฯลฯ การประดิษฐ์นิยมนำไปใช้ในงานหัวเรื่อง ชื่อหนังสือ ชื่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่  หัวเรื่องงานโฆษณา หัวเรื่องป้ายนิเทศ ตลอดจนป้ายโฆษณา เป็นต้น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น